กว่าจะจบปริญญาตรีที่นอร์เวย์#ตอนที่4

” ในชีวิต ของคนทุกคนต้องเคยผ่านร้อน และหนาวและพบเรื่องราว บางอย่างที่ฝังใจ…………..อย่าไปยอมแพ้ ให้กับปัญหาใดใดจงพร้อม จะอดทน ก้าวไปสู่หนทางที่ฝันใฝ่ด้วยตัวเอง ” หนึ่งในเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหลายๆคน ขอบคุณพี่เบิร์ดค่ะ

รู้สึกว่าตัวเราเองเป็นคนที่โชคดีมากๆที่มีกัลยาณมิตรแวดล้อมมากมาย ตั้งแต่จำความได้จนอายุปาเข้าไปหลักสี่ เคยรู้สึกผิดหวังสามครั้งกับความจริงใจที่มอบให้กับคนที่เค้าเคยรู้จักเรา แต่เค้าเลือกที่จะจากไป แต่ทุกอย่างมันย่อมมีเหตุผลของมัน ทุกครั้งที่มีปัญหา ทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ จะมีกัลยาณมิตรยื่นมือเข้ามาช่วยตลอดทุกครั้ง บางครั้งเราคิดไปเองว่าเราไม่มีใคร เวลาท้อๆจิตใจคนเรามันอ่อนแอนะ ก็คิดไปต่างๆนาๆ แต่จริงๆแล้วลึกๆตัวเราเองก็ไม่อยากจะไปรบกวนเค้าเหล่านั้น ปกติจะไม่ชอบเป็นผู้รับมีความสุขในการเป็นผู้ให้มากกว่า แต่ในชีวิตนี้ได้รับมากเหลือเกินจากคนรอบๆตัว ขอบคุณมากๆนะทุกคน

เราคิดว่าความบังเอิญคือความไม่บังเอิญ การที่คนๆนึงซึ่งอยู่กันคนละมุมโลกมีโอกาสมาเจอกันได้มันเหมือนมีเหตุผลบางอย่าง อยู่เมืองไทยไม่เคยเจอกันแต่ได้มาเจอกันที่เมืองนอก มันน่าคิดนะ ทุกๆคนที่เข้ามาในชีวิตเราทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เอาจริงๆเป็นคนที่ขี้อายมากนะ แต่บอกใครก็ไม่มีใครเชื่อ จะไม่มีความมั่นใจในการทำความรู้จักคนใหม่ๆเท่าไหร่ แต่เราคิดว่าปัญหานี้น่าจะเกิดกับคนอื่นๆด้วย เพราะเราไม่ชอบความอึดอัดในช่วงเวลาที่เรายังไม่สนิทกัน ดังนั้นเวลาที่เราเจอคนใหม่ๆเราจะคุยแบบเหมือนสนิทกันเลย เรียกว่าตีสนิทไปเลยพูดเล่นคุยเล่นเหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อนแล้ว กับบางคนเราไม่ได้รู้สึกว่าเราพยายามตีสนิทเค้า แต่มันรู้สึกในครั้งแรกที่คุยเลยว่าเราเข้ากันได้ดี ส่วนหนึ่งอาจมาจากเราแก่ขึ้นประสบการณ์มากขึ้นเจอคนเยอะขึ้น และยิ่งถ้าอายุน้อยกว่าเรารู้สึกว่ามันง่ายกว่าคนที่อายุเท่าๆกัน บางทีก็ลืมตัวไปเลยว่าเรานี่เป็นแม่เค้าได้เลยนะ ฮิฮิฮิ

ณ งานไทยฟู๊ดแฟร์ 3 มิถุนายน ปี2013 มีโอกาสได้รู้จัก ดร.ปัญญา แซ่ลิ้ม ผ่านน้องแก้วอีกแล้ว น้องแก้วผู้ชักนำคนดีมาให้เราได้รู้จักและเรียนรู้ ดร.ปัญญา ผู้นี้ มีปัญญาสมชื่อจริงๆ เรียกเล่นๆว่า”อาร์ม” ผู้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการผลักดันให้มีกลุ่มนักเรียนไทยในนอร์เวย์ อาร์มจบปริญญาเอกด้านการประมงมาจากประเทศเนอธอร์แลนด์และมาทำ Post Docที่ประเทศนอร์เวย์ ครั้งแรกที่เจอกันจำไม่ค่อยได้ว่าคุยเรื่องอะไรกันบ้างเพราะเจอกันในงานไทยแฟร์ เลยมีเรื่องให้ตื่นเต้นมากกว่าการคุยกันก็คืออาหารไทยที่มีวางขายทุกสิ่งอย่าง ฮ่าๆๆ

อาร์ม นี่คือยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ ต้องใช้คำนี้จริงๆ ด้วยความที่เราก็ชอบส่องเฟสบุ๊คชาวบ้านก็ส่องไปเรื่อย เฟสบุ๊คนี่ดีนะอย่างน้อยเราสามารถอ่านหรือทำความรู้จักคนๆนึงได้ในระดับนึงเลย เอาจริงๆที่เข้าไปดูไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไรนะ แค่อยากรู้จักว่าคนๆนั้นเป็นคนแบบไหน อย่างอาร์มเค้าไม่เคยมาเล่าอะไรดีๆของเค้าให้เราฟังอยู่แล้วเพราะเค้าไม่ใช่คนชอบอวดอ้าง ไม่เหมือนเรา ฮิฮิฮิ คนแบบไหนที่ปกปิดแม่เป็นเวลาห้าปีในการเรียน ร.ด. ไปซ้อมโดดร่ม โดดหอก็เซ็นเป็นผู้ปกครองเองเพราะไม่ต้องการให้แม่รู้ว่าตัวเองเรียนเรียน ร.ด. เพื่อที่ว่าในวันรับปริญญาจะได้มียศ ว่าที่ร้อยตรีและสามารถใส่ชุดปกติขาวในวันรับปริญญาเซอร์ไพรสคุณแม่  คนแบบไหนที่เก็บเงินเก็บทองเพื่อขอแต่งงานกะผู้หญิงที่ตั้งแต่คบกันเป็นแฟนเพราะตั้งใจจะแต่งงานกับคนๆนี้ นางเก็บได้เยอะด้วยนะ อย่างทองก็ซื้อสะสมเรื่อยๆตั้งแต่คบกัน คนแบบไหนที่ลงทุนซื้อแซกโซโฟนราคาเป็นแสนมาซ้อมเป็นปีๆเพื่อจะเป่าในงานแต่งงานเพื่อเซอร์ไพรสเจ้าสาว กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ ยังมีอื่นๆอีกมากมายที่ผู้ชายชื่ออาร์มทำให้พี่ต้องกลับมาพิจารณาตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นความสำเร็จของอาร์ม เพราะพี่รู้ว่าหนทางที่อาร์มมาถึงจุดๆนี้มันไม่ได้มาง่ายๆ อาร์มเป็นบทพิสูจน์ของความวิริยะ อุตสาหะ ขยัน อดทนของแท้ ดีใจกับน้องและรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจที่เรามีโอกาสได้รู้จักและมีประสบการณ์ที่ดีๆร่วมกันหลายโอกาส กลับไปไทยแล้วน้องก็ดังใหญ่ได้ออกทีวีด้วย https://www.youtube.com/watch?v=T7dz60YKLJE&feature=share

ตอนที่เราไปเข้าค่ายที่บ้านป่า พวกเราก็คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเรียนว่ามีวิธีเทคนิคอะไรในการเรียนเพื่อให้ประสบความสำเร็จบ้าง ประสบการณ์ของอาร์มทำให้เรานี่ช็อค อึ้ง ทึ่ง แต่ไม่เสียวนะ ฮิฮิฮิ คือนางบอกอ่านก่อนสอบ20 รอบ จ๊ะ ไม่ผิดจ๊ะ อ่านว่า ยี่-สิบ-รอบ คือทุกคนอึ้งไปเลยจ้า แต่นางบอกว่าก็ไม่ได้อ่านทั้งหมดนะ ไอ้สิบยี่สิบรอบนี่คือเป็นบทสรุปย่อที่นางทำขึ้นมาในแต่ละวิชา แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะเป็นแค่โน๊ตย่อของวิชานั้นๆรอบนึงอีป้านี่ยังอ่านไม่จบเลยในบางวิชา บางวิชาก็ยังไม่มีเวลาจดโน๊ตย่อเลยเหอะ บางวิชานี่คืออ่านแต่สไลด์และจดโน๊ตจากสไลด์อีกทีนะ หนังสือเหรอซื้อมาหนุนหัวหวังว่ามันจะออสโมซิสเข้าไปได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ จำได้ว่าตอนกลับไทยรอบนึงขนหนังสือไปด้วยคือหนักมาก ตั้งใจว่าจะเอาไปอ่านบนเครื่อง ไม่ต้องทายเลยว่าไม่ได้อ่านเพราะมันคือถูก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แต่จะไม่เอาไปก็รู้สึกผิดไง เคยเป็นกันป่ะ โดดเรียนไปสามอาทิตย์ คิดดูสิปกติไปเรียนก็จำอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้วแต่นี่ไม่ไปเรียนตั้งสามอาทิตย์ ถ้าไม่เอาหนังสือไปด้วยมันรู้สึกผิดมาก ถึงไม่ได้อ่านก็เอาไปให้รู้สึกผิดน้อยลง ฮิฮิฮิ

พอเรารู้จักกันมากขึ้น เริ่มมีน้องๆนักเรียนจากการแนะนำรุ่นสู่รุ่น อาร์มเลยถามว่าพี่หนึ่งอยากจัดตั้งกลุ่มนักเรียนไทยในนอร์เวย์ไหม ถ้าพี่อยากทำผมจะช่วย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มของพวกเราอย่างค่อนข้างเป็นทางการ ด้วยความที่เราไม่ชอบอะไรที่มันเป็นทางการมันก็เลยยังมีความขัดแย้งในใจบ้างนิดหน่อยว่าเราจะทำได้เหรอ เราเข้าผู้ใหญ่ไม่เป็น พูดทางการก็ไม่เป็น แต่คิดแค่ว่าอยากจะทำกลุ่มนี้ขึ้นมา ด้วยความตั้งใจแรกแค่อยากช่วยคนไทยไกลบ้านตามความถนัดและความสามารถที่ทำได้ แต่ทำไมต้องเป็นกลุ่มนักศึกษาอันนี้มันมาจากด้วยน้องชายเราก็เป็นคนชอบเรียน ตอนนี้ก็เป็นนักเรียนปริญญาเอกอยู่ที่อเมริกา เรานึกถึงว่าถ้าเราช่วยน้องๆเหล่านี้ไม่มากก็น้อยด้วยความเต็มใจผลบุญคงจะช่วยส่งให้น้องชายเราได้เจอคนที่คอยสนับสนุน ช่วยเหลือหรือเจอกัลยาณมิตรในต่างแดนบ้าง พอเริ่มทำก็คิดการณ์ใหญ่ไปอีกว่าอยากเห็นภาพพจน์ใหม่ๆของคนไทยในประเทศนอร์เวย์ คนไทยที่อาศัยในประเทศนอร์เวย์ไม่ได้ย้ายตามสามีมาอย่างเดียวนะจ๊ะ ยังมีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทด้านวิชาการ ซึ่งมีทั้งนักเรียนนักศึกษามาเรียนต่อที่ประเทศนอร์เวย์ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกอีกจำนวนไม่น้อยแต่ก็ไม่มาก ฮ่าๆๆๆ รวมถึงผู้ที่ทำงานในระดับมืออาชีพอยู่อีกจำนวนนึง ความตั้งใจของเราคืออยากจะพรีเซนต์คนเหล่านี้ให้กลุ่มคนไทยด้วยกันเองรู้จักเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ และร่วมภูมิใจว่าเรามีคนไทยที่เก่งๆและเป็นที่ยอมรับของคนนอร์เวย์อยู่ในประเทศนอร์เวย์หลายคนนะ และส่วนหนึ่งก็อยากสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้คนไทยมาเรียนต่อที่นอร์เวย์กันเยอะๆเพราะที่นี่เค้าก็โดดเด่นทางด้านวิชาการหลายสาขาวิชาและยังให้นักศึกษาต่างชาติเรียนฟรีจนถึงระดับปริญญาเอกอีกด้วยในมหาวิทยาลัยของรัฐ เพราะนอร์เวย์ไม่ใช่ประเทศที่คนไทยจะนึกถึงเป็นประเทศแรกในการเรียนต่อเมืองนอกเพราะเหตุผลหลายๆอย่าง แต่ถ้าพิจารณาประเทศนอร์เวย์ไว้ในอ้อมใจในการเลือกเรียนต่อให้บุตรหลานของท่านรับรองว่า จะประทับใจไม่รู้ลืม การันตีโดยน้องๆที่จบไปแล้วทุกคนคิดถึงนอร์เวย์กันทุกคน ทุกคำถามในการเรียนต่อที่นอร์เวย์มีคนตอบที่เฟสบุ๊ค Thai students in Norway https://www.facebook.com/groups/183782675121907/ เข้าไปสอบถามข้อมูลได้ค่ะ

กว่าจะจบปริญญาตรีที่นอร์เวย์#ตอนที่3

“มนุษย์เป็นสัตว์สังคม โดยสภาพธรรมชาติจะต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ๆ ติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระตามลำพังแต่ผู้เดียวได้”  Aristotle ได้กล่าวไว้

จากประสบการณ์ส่วนตัวพิสูจน์มาแล้วว่าคำพูดนี้จริงที่สุด จำได้ว่าก่อนจะย้ายมานอร์เวย์คิดไว้ในใจเลยว่าจะไม่คบคนไทยใคร ฮ่าๆๆๆๆ ไม่สวยแต่หยิ่งนะจ๊ะ เพราะกลัวคนเจอไม่จริงใจ กลัวโดนหลอก วุ่นวายคนเยอะเรื่องแยะ โดยเฉพาะคนไทย คิดแบบนี้จริงๆ ก่อนมาได้รู้จักเพจ เพจหนึ่งซึ่งดังมากเป็นชุมชนของสาวไทยที่กำลังคบหาดูใจกับชาวต่างชาตฺ ทั้งคนที่อยากมา กำลังจะมาและย้ายมาอยู่ต่างประเทศแล้ว ถ้าเข้าข่ายที่กล่าวมาเกือบทุกคนต้องรู้จัก “เลดี้อินเตอร์” ซึ่งในเลดี้อินเตอร์เค้าก็จะแบ่งเป็นห้องย่อยๆซึ่งแบ่งตามประเทศที่อยู่หรือประเทศเป้าหมาย ซึ่งห้องที่เราเข้าไปเป็นสมาชิกในตอนนั้นเรียกว่า “บ้านนอริเก๊ะ” เพราะตอนนั้นกำลังหาข้อมูลประเทศนอร์เวย์อยู่ มันมีทั้งสาระที่เป็นประโยชน์ และดราม่า เป็นสมาชิกอยู่สักพักคิดในใจก่อนมาเลยว่าจะไม่ไปหาทางรู้จักกับคนไทย หมายถึงว่าไม่ไปเสาะหาอยากรู้จักคนโน้นคนนี้ หรือไปเสาะหาพบปะกับเพื่อนใหม่ๆ นี่คือความตั้งใจก่อนมา แต่ตอนนี้หน่ะเหรอ มีเพื่อนใหม่เป็นพันเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาจริงๆมีเพื่อนๆหลายคนที่รู้จักจากเวปนั้นและยังมิตรที่มีแต่ความปรารถนาดีให้กันจนทุกวันนี้ ทั้งคนที่เจอกันตัวเป็นๆ และหลายคนที่เจอกันผ่านตัวหนังสือ ถึงจะไม่ได้เจอก็ยังรู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีเหล่านั้นขอบคุณบ้านนอริเก๊ะค่ะ

ด้วยนิสัยส่วนตัวที่มีความใส่ใจคนรอบข้างค่อนข้างมาก ภาษาหยาบๆก็เรียนว่าเสือกนั่นแหละ บวกกับมีความรู้สึกเบิกบานใจเป็นที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่น ใจมันพองๆ เคยเป็นไหม มันรู้สึกเหมือนหน้าเราใหญ่ขึ้นๆ หรือบางคนจะเรียกเราว่าอยากได้หน้า ทำงานเอาหน้าอะไรก็ว่าไปแล้วแต่จะจำกัดความ ทำให้เรานึกถึงคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโท ที่ท่านบอกว่า “ทำความดีอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น มัน ก็ยังดีอยู่นั่นเองแหละ” คิดเข้าข้างตัวเองว่าเราช่วยคนอื่นถึงจะทำเพราะอยากได้หน้าเราก็ได้ช่วยคนอื่นอยู่ดี ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะช่วยเต็มความสามารถที่เราช่วยได้เท่านั้นนะ ไม่ใช่ว่าจะช่วยจนตัวเองเดือดร้อน เพราะนิสัยถาวรทั้งสองอย่างนี้ (ใส่ใจคนรอบข้างค่อนข้างมาก+เบิกบานใจเป็นที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่น) เป็นที่มาของการจัดตั้งกลุ่มนักเรียนไทยในนอร์เวย์

จากกลุ่มผู้บุกเบิกทั้งห้าคนซึ่งมีเรา มีจี,กิฟท์,แก้วและคิม ก็เริ่มมีสมาชิกเข้ามาเรื่อยๆ คนแรกที่เข้ามาคือน้องเมย์ ภัทรวดี เจอเมย์วันแรกในวันชาตินอร์เวย์ จากการแนะนำของน้องแก้ว วันแรกที่รู้จักกันน้องพูดน้อยมาก แต่พอยิ่งรู้จักเมย์ยิ่งทำให้ทึ่งในทุกๆเรื่อง ใครจะไปคิดว่าน้องหน้าหมวยๆบอบบางคนนี้แบกพรมอีเกียที่หนักมาก ย้ำว่าหนักมากจากอีเกียจนมาถึงหอพักในชั้นห้าแบบไม่มีลิฟท์มาแล้ว เมย์เก่งทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนการันตีจากเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่องงานสมัครงานที่ไหนได้ทุกที่ เรื่องความอดทน เมย์สามารถกินอาหารซ้ำๆกันได้เป็นอาทิตย์ ฮิฮิฮิฮิ ความขยันและความมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ คือเมย์เป็นหนึ่งในไอดอลของพี่เลยนะ นิยามของเมย์คือ ไม่มีอะไรที่เมย์ทำไม่ได้ เมย์ทำได้ทุกเรื่องและทำได้ดีด้วยพวกเราปรึกษากันทุกเรื่อง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เรามีกลุ่มที่คุยกันทุกวันมาตลอด4ปีกว่าๆที่รู้จักกันมา เป็นกลุ่มที่บำบัดซึ่งกันและกัน เมย์คือหนึ่งในสมาชิก Four seasonsฮ่าๆๆๆ มีใครบ้างต้องติดตาม คิดถึงนางมากตอนนี้นางย้ายกลับไปสวีเดน ไม่มีเพื่อนกินอาหารอีสาน ฮิฮิฮิ ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญของน้อง นั่นก็คือการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งในวันที่หนาวเหน็บ ถึงเมย์ไม่ได้เรียนที่นอร์เวย์แต่เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ช่วยเหลือกิจกรรมของกลุ่มนักเรียนไทยมาโดยตลอด คิดถึงๆๆๆเดี๋ยวจัดเวลาไปเยี่ยมที่สต็อคโฮล์ม ตั้งแต่น้องย้ายไปน้องก็กินดีอยู่ดี กินข้าวนอกบ้านทุกวัน อิจฉาเบาๆ ฮิฮิฮิ

 

 

กว่าจะจบปริญญาตรีที่นอร์เวย์ #ตอนที่2

จากคำแนะนำของน้องจี ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักน้องกิฟท์ น้องกิฟท์ผู้ที่สามารถให้แนะนำได้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเรียน ปรึกษากิฟท์ไม่เคยผิดหวัง เป็นหนึ่งในติวเตอร์ส่วนตัวเลยก็ว่าได้ จะได้คำตอบและกำลังใจที่ดีรวมทั้งพลังบวกที่ส่งมาให้อย่างมากมาย กิฟท์เป็นคนที่มีจิตใจดีและคิดบวกที่สุดคนนึงที่รู้จักมา เวลาถามเรื่องต่างๆกิฟท์จะบอกเสมอว่าอันนี้มันง่ายมากเลยพี่หนึ่ง ง่ายจริงๆ  พี่หนึ่งทำได้ คำพูดแค่นี้ไม่น่าเชื่อว่าจากที่เราคิดว่ามันยาก พอฟังน้องกิฟท์พูดว่ามันง่าย มันทำให้เราเชื่อว่าสิ่งนั้นง่ายจริงๆ การเปลี่ยนทัศนคติทำให้เรามองมันต่างจากเดิม และพลังบวกนี้ได้มีโอกาสส่งต่อให้กับคนอื่นมาแล้วหลายคน ขอบคุณมากๆ

ตอนที่เข้าไปเรียนเทิอมแรกมีแค่กิฟท์ และน้องคิม ที่เป็นนักเรียนคนไทยที่เรียนอยู่ที่ BIในขณะนั้น ทั้งสองคนได้รับการแนะนำจากน้องจีทั้งคู่ แต่กิฟท์บอกว่ามีพี่แก้วอีกคนแต่ตอนนี้พี่แก้วไม่อยู่ไปแลกเปลี่ยนหนึ่งเทิอมที่สาธารณรัฐเชค เทิอมต่อมาก็ได้มารู้จักกับน้องแก้ว ที่กลับมาเรียนเทิอมสุดท้ายที่นอร์เวย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มนักเรียนไทยในนอร์เวย์ที่จะเล่าในโอกาสต่อไป

นอกจากจะต้องตั้งใจเรียนแล้วเราก็ยังมีอีกภาระกิจหนึ่งที่ต้องพิชิตให้ได้ก็คือต้องสอบวัดระดับภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนที่ต้องการ คนอื่นสอบกันกี่ครั้งไม่รู้แต่เราถ้าแข่งจำนวนครั้งก็คงไม่แพ้ใคร สอบไปทั้งหมด 4ครั้งจ้า สอบมันทั้งTOEFL และ IELTS จัดไปอย่างละสองรอบ โดยเป้าหมายคือต้องได้TOEFL78คะแนนเต็ม 120 หรือ IELTS เท่ากับ6 เต็ม9 ถามว่าท้อไหมกับการสอบตั้งหลายครั้งไม่ได้คะแนนที่ต้องการ ตอบเลยว่าไม่ เพราะเราไม่ได้โฟกัสตรงนั้น จุดมุ่งหมายคือสอบให้ได้คะแนนที่ต้องการ ไม่ได้โฟกัสว่าต้องได้คะแนนที่ต้องการภายในครั้งแรกที่สอบ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โฟกัสให้ถูกจุด จะได้ไม่มีเรื่องที่มาบั่นทอนกำลังใจของเรา เรื่อง IELTSเต็ม 9มันมีเรื่องโจ๊กนิดหน่อย คือมันมีคนนึงที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ(ประชด) ที่พวกเราจะยกให้เค้าเป็นบุคคลที่สอบ IELTS ได้10 คะแนน อ่านไม่ผิดหรอกคะแนนมันแค่9 แต่พี่แกได้10 เพราะเก่งกว่านั้น ฮ่าๆๆๆๆ เรื่องนี้มันทำให้เราเกิดความกังวลในการใช้ภาษาของตัวเองไปหน่อยนึงเลยนะ เพราะถ้ามองว่าเฮ้ยย แก มันตลกอ่ะ ทำไมแกกล้าเขียนแบบนี้ มันน่าอายนะที่เขียนผิดแบบนี้ เพื่อนแกไม่มีใครเตือนเลยเหรอวะ แต่ถ้าคิดบวกๆหน่อยก็จะคิดว่า เฮ้ยแก ขนาดเขียนผิดๆแบบนี้เค้ายังกล้าที่จะเขียนเลยนะ แล้วแกล่ะทำไมไม่กล้าแบบเค้าวะ แต่พอมาคิดดูดีๆ เค้าจะเขียนผิดหรือถูกมันเป็นเรื่องของเขาว่ะ แกไม่เกี่ยว…เออจริงว่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าใครต้องการคำแนะนำในการสอบยินดีมากจ้า ประสบการณ์เยอะ ฮิฮิฮิ และใครสนใจตัวอย่างข้อสอบสามารถแชร์ให้ได้นะคะมีเยอะมาก กอไก่ล้านตัว อยากจะแปะลิงค์ไว้ตรงนี้แต่กลัวเรื่องลิขสิทธิ์ แจ้งอีเมลมาได้นะคะเดี๋ยวแชร์ให้ ความดีทั้งหมดนี้ขอยกให้กิฟท์กะคิม ติวเตอร์ส่วนตัว น้องกิฟท์มีการเตรียมการสอนและมีการบ้านมาให้ทำเพื่อช่วยฝึกทำข้อสอบด้วย น้องคิมเป็นอาจารย์คอยตรวจตัวอย่างการฝึกเขียนและแก้ไขพร้อมอธิบายอย่างดี คิมเหมาะกับการเป็นครูผู้ถ่ายทอดจริงๆ กราบบบบบบบ

กิจกรรมที่พวกเราทำร่วมกันนอกเหนือจากการกินแล้ว พวกเรายังชวนกันไปเล่นสกี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกีฬายอดนิยมของประเทศนอร์เวย์เลยทีเดียว พอตัดสินใจว่าจะไปลองเล่นสกีกัน พวกเราไม่รอช้ารีบไปเช่าสกีที่Sio athletica เลยจ้า ตามคำแนะนำของกิฟท์ เราเชื่อกิฟท์เพราะกิฟท์อยู่มานานกว่าเรา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ กิฟท์บอกว่าเช่าแหละดีสุดเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะชอบกีฬานี้หรือเปล่า ถ้าเราชอบเราค่อยซื้อเป็นของตัวเอง อันนี้คือคิดแบบคนนอร์ชเลย พวกเราก็ไปเช่าสกีกัน เช่าแบบทั้งฤดูกาลเลยนะ ยืมได้ถึงเดือนเมษายนเลย เพราะถ้าเทียบว่ายืมแค่ระยะสั้นมันไม่คุ้ม สุดท้ายก็ไม่น่าจะคุ้มนะเพราะไปนับครั้งได้ ฮิฮิฮิ พวกเราที่นัดกันไปเล่นนั้น ไม่มีใครเล่นเป็นเลยแม่แต่คนเดียว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ นี่คือครั้งแรกของทุกคน ฮ่าๆๆๆๆๆ ไปถึง Sognsvann น้องกิฟท์ฝ่ายเสบียงพร้อมมากมีทั้งชา,กาแฟ,โกโก้ร้อน  ไส้กรอก พร้อมคนนั่งปิ้งและเฝ้าของ นั่นก็คือคุณทรน สามีน้องกิฟท์ อีกทั้งน้องคิมยังให้ความเชื่อมั่นว่า “พี่ๆไม่ต้องกลัว คิมดูจากยูทูปมาแล้วไม่ยาก เดี๋ยวคิมสอนให้” ทำให้พวกเรามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพวกเราน่าจะเล่นได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ คิมบอกว่าใส่ไปข้างเดียวก่อนพี่แล้วหัดทรงตัว จากนั้นคิมก็ทำให้ดู เออ มันก็ได้นะ วันนั้นมันทั้งสนุกทั้งหนาว เป็นอีกวันที่น่าจดจำ

 

 

 

28 march 2012

เริ่มต้นถามชื่อ และแนะนำตัวกันอีกรอบ แต่ครั้งนี้มีประโยคใหม่ เพราะแค่วันเดียวคงยังจำกันไม่ได้ว่าป็นใคร มาจากไหน

เวลาครูถามว่าเพื่อนคนนั้นชื่ออะไร  ถ้าเราไม่รู้ให้ตอบว่า Jeg vet ikke. แล้วก็หันไปถามว่าเพื่อนว่า เธอชื่ออะไร Hva heter du?

พอรู้แล้วว่าเพื่อนชื่ออะไรก็หันไปตอบครู Hun heter Yao. หล่อนชื่อเหยา ฝึกหลายรอบเหมือนกันวันนี้

 

แล้ววันนี้ครูก้พูดว่า Jeg leser og dere skriver. แปลว่า ฉันอ่านและพวกเธอเขียน ภาษานอร์เวย์เรียก

En diktat ก็คือเขียนให้ตามคำบอกนั่นเอง ความยาวหนึ่งย่อหน้า เราเขียนถูกหมดเลย(ก็เรียนมาแล้วเนาะ)

ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก อิอิอิ

Anne kommer fra Norge. Hun snakker engelsk og norsk.

Hun kommer fra Ålesund,men nå bor hun i Oslo.

Pablo kommer ikke fra Norge,han kommer fra Bolivia.

Han snakker ikke engelsk. Jan og Jolanta kommer ikke fra Bolivia.

De kommer fra Polen. De forstår litt norsk.

 

 

ซัมเมอร์2011 ที่นาร์วิค (Narvik)

การเดินทางมานาร์วิค(Narvik) ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่2 ซึ่งขอบอกว่าแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ขออุ่นเครื่องกับทัศนียภาพที่มองเห็นจากบนฟ้ามองลงมา โอ้วววววววววววว ไม่มีคำบรรยาย แต่ด้วยความที่ไม่ได้นั่งติดหน้าต่าง เลยทุลักทุเลเล็กน้อยแต่ก็ยังภาพสวยๆมาให้ชม อย่างที่เห็น

พอถึงสนามบินก็ต้องร้องโอ้ววววววววววอีกหลายๆครั้ง เพราะระหว่างทาง วิวทั้งสองข้างทาง รวมทั้งภาพตรงหน้าที่มองเห็นสุดแสนจะประทับใจ สวยงามเรียกได้ว่าสวยเกินคำบรรยายจริงๆ  เป็นรูปที่มองจากข้างในรถบัส ดังนั้นบางรูปอาจมีกระจกสะท้อนในรูปบ้างก็ต้องขออภัยมาณ ที่นี้เด้อ

ทริปนี้ถ่ายรูปสุดๆไปเลยค่ะ ก็คนเค้าเห่อกล้องใหม่อ่ะ ฮิๆๆๆ วิวหลังบ้านพักฤดูร้อนของครอบครัวสามี เป็นทะเลจ๊ะ สวยมากกกกกก ด้วยความพยายามอย่างสูงที่อยากจะได้วิวสวยๆมาฝากเพื่อนๆก็เลยต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาน้อยๆ ไม่ผิดหวังจริงๆนะ ได้ภาพอย่างที่เห็น น้ำทะเลใสจนเป็นสีเขียวเลยทีเดียว สองลำน้อยๆนั่นเรือนะ ไม่ใช่เป็ด

หนึ่งภาพล้านความหมาย สวยเกินคำบรรยายจริงๆ

ขอนางแบบซะหน่อยนะ อยากแปลงร่างบ้างอะไรบ้างอ่ะ สังเกตุผมสิ ลมแรงมั๊กมักกก

กิจกรรมหลักนอกจากกินกะนอนแล้ว การมาพักผ่อนที่นี่ยังมีให้ทำอีกเยอะ อาทิเช่น ปีนเขาเก็บผลไม้ป่า และชมวิวบนเขา  เสียดายที่ลมแรงตลอดทำให้พลาดกิจกรรมหลักอีกอย่างนั่นคือตกปลา